ความสำเร็จ เกิดจากความมุมานะ ศึกษาค้นคว้า และไม่ยอมแพ้ นิตยสารยางไทยฉบับนี้ ขอนำเสนออีกหนึ่งผู้นำที่ประสบความสำเร็จจากสิ่งเหล่านี้  เขาคือ “ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตแผ่นยางฉนวนกันความร้อนอันดับ 1 ของประเทศ และอันดับ 3 ของโลก และเจ้าของสิทธิบัตรมากมายทั้งในและต่างประเทศ

ผู้ชายคนนี้สร้างตัวเองมาจากการสร้างพื้นฐานความรู้ที่ดี แม้ครอบครัวจะลำบาก เขาต้องช่วยคุณพ่อที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเมืองจีน มาเริ่มต้นทำโรงงานเล็กๆ ที่เมืองไทยเมื่อกว่า 70 ปีก่อน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยสภาพแวดล้อม และการที่ไม่มี Know-how เป็นของตัวเอง ทำให้ขายสินค้าขาดทุน แต่ “ภวัฒน์” ซึ่งเป็นลูกชายคนโต ซึ่งช่วยพ่อทำงานและศึกษาค้นคว้าไปด้วย เพราะความชอบในเรื่องวิทยาศาสตร์ และภาษา ทำให้เขาได้ค้นพบตำราสูตรยางภาษาจีน  ซึ่งกลายเป็นตำราบู๊ลิ้ม ทำให้เขาและพ่อ พัฒนาสินค้าคุณภาพออกมาสู่ตลาดได้จนประสบความสำเร็จ

แนวคิดและจุดเริ่มต้นของ บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป

ย้อนกลับเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว ก่อนครอบครัววิทูรปกรณ์จะก่อร่างสร้างตัวจนมีกิจการเป็นปึกแผ่นนั้น พวกเขาต้องผ่านความล้มเหลวและต่อสู้กับอุปสรรคมากมาย โดยหลังจากที่ซิวซี ผู้เป็นพ่อ เริ่มต้นหาเลี้ยงชีพจากการเป็นลูกจ้างในโรงงานฟอกหนัง เพียง 2 ปีกว่านำเงินสะสมเริ่มต้นบทบาทเถ้าแก่ของโรงงานฟอกหนังซ่าฮิ้นลี่ อันนับเป็นช่วงชีวิตที่ต้องเผชิญปัญหาหนี้สินรุมเร้าด้วยเพราะขัดสนทั้งความรู้ในการบริหารธุรกิจและเงินทุน เพื่อความอยู่รอดของครอบครัว จนกระทั่งวิกฤตน้ำเสีย ซิวชีจึงตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพ โดยหันไปเป็นช่างไม้และทำเครื่องเรือนแถวย่านถนนพระราม 4 แต่ด้วย การแข่งขันที่สูงและไม่มีหน้าร้านวางจำหน่ายสินค้า ทำให้เปิดภาระหนี้หลายแสนบาทที่เกิดจากการกู้ยืมเงินนอกระบบ

อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยย่อท้อหาก แต่เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ อยู่เสมอโดยระหว่างปี 2509 เพื่อนของซิวซีได้มอบสูตรทำยางพื้นรองเท้าซึ่งเป็นภาษาจีนให้กับครอบครัว ประจวบเหมาะกับที่มีโรงงานเก่าขายกิจการในช่วงนั้น ซิวซีจึงตัดสินใจวางเดิมพันกับเส้นทางใหม่ด้วยเงินทุนราว 80,000 บาท เพื่อเดินเครื่องธุรกิจผลิตพื้นยางรองเท้า แต่ท้ายที่สุด ด้วยต้นทุนที่สูงมาก จึงทำให้ประสบกับปัญหาขาดทุนอีกครั้ง ส่งผลให้ครอบครัวต้องเผชิญกับภาวะหนี้สินรุมเร้ากว่า 10 ปี

จนกระทั่ง ปี 2513 เมื่อหนังสือเกี่ยวกับเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยาง ช่วยให้เขาค้นพบคำตอบ นำองค์ความรู้ใหม่มาปรับใช้จึงส่งผลให้ธุรกิจเริ่มมีกำไร และพลิกฟื้นสถานะทางการเงินให้ดีขึ้น ทั้งนี้ มากจากการไปค้นพบเคมีตัวหนึ่งที่ทำให้เราทำยางได้ดี คือ “แคลเซียมออกไซด์” ซึ่งจะเป็นตัวดูดความชื้น ทำให้ยางไม่มีกลิ่น และสามารถใช้ในยางทุกตัวได้ จนได้พัฒนามาทำพื้นรองเท้า ยางล้อรถเข็นที่ใหญ่ที่สุด และทำลูกกลิ้งยาง ในช่วงนั้นเราใช้ยางธรรมชาติค่อนข้างมาก นั่นคือจุดเริ่มต้นของการใช้ยางธรรมชาติ  จนกระทั่ง ต่อยอดไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าได้รวดเร็วขึ้น ทำให้ครอบครัวเริ่มลืมตาอ้าปากได้ในที่สุดหลังผ่านช่วงยากลำบากมาอย่างยาวนาน กระทั่งก่อให้เกิดบริษัท ตะวันออกโปลีเมอร์อุตสาหกรรม จำกัด ในเวลาต่อมาจนกระทั่ง ก่อเกิดเป็นผลิตภัณฑ์สร้างชื่อให้กับบริษัทจนทุกวันนี้

บริษัทในเครือของอีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจอะไรบ้าง

อีสเทิร์น โพลีเมอร์หรือ EPG ประกอบไปด้วย บริษัท แอร์โรเฟลกซ์ จำกัด เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายฉนวนยางกันความร้อนและเย็นสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศเป็นฉนวนยางกันความร้อนที่ทนความร้อนได้ถึง 150° และความเย็นได้ต่ำกว่า -57° C ขายไปยังกว่า 100 ประเทศทั่วโลก มียอดขายเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐ และอิตาลีมีฐานการผลิตอยู่9 แห่ง ได้แก่ ไทย, จีน 2 แห่ง, สหรัฐ, ยุโรป รวมถึงการขาย Licensing ให้รัสเซียกับ สวิตเซอร์แลนด์ และเรายังมีบริษัทร่วมทุนที่อินเดียรวมกำลังการผลิต 40,000 ตัน แต่ปัจจุบันใช้กำลังการผลิตเพียง 60% โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขาย 3,000 ล้านบาท

บริษัท แอร์โรคลาส จำกัด หรือ ARK เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ อาทิ พื้นปูกระบะพลาสติก หลังคารถกระบะ ฝาครอบปิดรถกระบะ มีกำลังการผลิตไลเนอร์รวมเป็นล้านชิ้นต่อปี ยอดขายรวมบริษัทย่อย TJM ที่ Australia 4,000 ล้านบาท มีโรงงานผลิต 3 แห่งในไทย-จีนที่เซี่ยงไฮ้ และมาเลเซีย ปัจจุบัน แอร์โรคลาสถือเป็นบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นบริษัทที่มีสิทธิบัตรมากที่สุดบริษัทหนึ่ง หรือเรามีประมาณ 300 ฉบับมีสินค้าใหม่ ๆ ออกมาโดยเฉพาะในตลาดสหรัฐ ออสเตรเลีย ไทย และยุโรป

บริษัท อีสเทิร์น โพลีแพค จำกัด หรือ EPP เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับเครื่องดื่มและอาหาร มีคุณภาพและทนความร้อนได้ถึง 120 องศา และทนความเย็นได้ถึงลบ 40 องศา เป็นผู้ผลิตใหญ่ที่สุดในอาเซี่ยน ปัจจุบันมีสิทธิบัตร 50 กว่าฉบับ สินค้าบางตัวได้สิทธิบัตรจากประเทศญี่ปุ่น ประเทศจีน ประเทศไทย มียอดขายประมาณ 2,600 ล้านบาท และ บริษัท อีพีจี อินโนเวชั่นเซ็นเตอร์ จำกัด เป็นบริษัทศูนย์รวมด้านการวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมอย่างสร้างสรรค์ โดยในปี 2558 บริษัทมีงบฯวิจัยและพัฒนา 80 ล้านบาทปี 2559 เพิ่มเป็น 120 ล้านบาทตามนโยบายที่รัฐบาลต้องการสนับสนุน นอกจากบริษัทจะทำงานวิจัยในเครือแล้วยังรับงานวิจัยภายนอกด้วย

และอีกก้าวที่สำคัญ คือ การพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ โยการร่วมทุนกับ บริษัทในประเทศญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อ “บริษัท โตไก อีสเทิร์นรับเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ซีออน แอดวานซ์ โพลีมิกซ์ จำกัด เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและยางผสม ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ  โดยเราไม่หยุดนิ่งที่จะคิดค้น

การพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ สำหรับสินค้าและผลิตภัณฑ์

วิสัยทัศน์ที่เราวางไว้ คือ การเป็น Creative Innovation Organization หรือ องค์กรแห่งนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ ทั้งนี้ เราเป็นองค์กรที่เติบโตขึ้นมาด้วยนวัตกรรมตั้งแต่เริ่มต้น เรานำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาต่อยอดด้วยการใส่ความคิดสร้างสรรค์ แล้วพัฒนาให้ออกมาเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ประสบกาณ์สอนให้เรารู้ว่า การสร้างสรรค์นวัตกรรมเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน เราไม่สามารถที่จะหยุดอยู่กับที่แล้วชื่นชมกับความสำเร็จที่เราทำไว้ในอดีตเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องคอยมองหาวิธีที่จะพัฒนาตนเองอยู่สม่ำเสมอ เพื่อทำให้เราเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้

สินค้าทุกชิ้นขอเราจึงถูกนำมาต่อยอดด้วยนวัตกรรมที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง เราลงทุนสร้าง EPG Innovation Center โดยลงทุนประมาณกว่า 120 ล้านบาท เพื่อเป็นศูนย์วิจัยเฉพาะ เพื่อนำสินค้าแต่ละชิ้นมาศึกษาและวิจัย เพื่อหาทางในการต่อยอดให้เป็นรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพดีกว่าเดิม จึงต้องทุ่มกำลังและใช้เวลาในแต่ละขั้นตอนเพื่อค้นหาวิธีในกรสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุด สิทธิบัตรกว่า 450 ใบที่เราเป็นเจ้าของยืนยันได้อย่างดีถึงความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมของเรา

ทิศทางของสินค้านวัตกรรม

ธุรกิจของเราอยู่ด้วยนวัตกรรม โตด้วยนวัตกรรม หากินกับนวัตกรรม โดยจะเห็นว่า 3 องค์กรของ EPG ต่างฝ่ายต่างมีสิทธิบัตรมีนวัตกรรมของตัวเอง รวมเสร็จสรรพจะมีสิทธิ์บัตรที่ยื่นขอไปแล้ว ประมาณ 600 กว่าฉบับทั้งกลุ่ม ได้รับอนุมัติแล้ว 500 ฉบับและยังมีอายุอยู่ประมาณ 100 กว่าฉบับ ตอนนี้มีสิทธิบัตรใหม่ที่อยู่ระหว่างรอการประกาศอีกประมาณ 100 กว่าฉบับ

แผนการดำเนินงานและการขยายธุรกิจในอนาคต

EPG ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% ในปี 2560/2561 มุ่งขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ยังคงเน้นทำการตลาดในกลุ่มทวีปเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม ญี่ปุ่น และจีน ส่วนในสหรัฐอเมริกาได้เตรียมลงทุนเครื่องในจักร Hi-speed อีก 100 ล้านบาท

นอกจากนี้ EPG ได้ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ “AERO-ROOF” ฉนวนยางกันความร้อนใต้หลังคา เพื่อเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าโครงการ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล คลังสินค้า และกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยต่อผู้อาศัยและความคุ้มค่าในการใช้งาน สำหรับด้านการวิจัยและพัฒนาอยู่ระหว่างพัฒนาสินค้าใหม่ฉนวนกันไฟ (Fire Stop Insulation) หากประสบผลสำเร็จจะเป็นโอกาสขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจฉนวนกันไฟ เพื่อใช้กับที่อยู่อาศัยและโรงงานอุตสาหกรรม เจาะกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ

ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS จะทำให้ EPG เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์หลังคารถกระบะ (Canopy) บันไดข้างรถ (Side Step) ซึ่งบริษัทได้ทยอยเพิ่มกำลังการผลิตทั้งสองผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต และได้มีการขยายตลาดในเอเชีย ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง แอฟริกาและยุโรปตะวันออกอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีการหารือกับค่ายรถยนต์ที่ต้องการให้ AEROKLAS ร่วมพัฒนาชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์คุณภาพพรีเมี่ยมอีกด้วย ด้าน TJM จะดำเนินการจัดตั้ง TJM Corporate Store ใน Western Australia และเปิดสาขาในประเทศไทย

สำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม EPP ล่าสุดได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ Food Liner ชามสะอาด บรรจุภัณฑ์ชาม/จาน พลาสติกใช้วางซ้อนบนชาม/จาน อาหารหลักเมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วสามารถดึงออกทำไม่ต้องล้างชาม/จานหลัก เหมาะกับการใช้งานในร้านอาหารสตรีทฟู้ด และผู้ที่ไม่สะดวกล้างจานนับเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและที่สำคัญสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตในการบริโภคของคนไทยให้ดีขึ้น  โดยผลิตภัณฑ์ Food Liner ได้รับสิทธิบัตรจากประเทศญี่ปุ่น  จีน  ฟิลิปปินส์  และกำลังจะตามมาด้วยประเทศอื่นๆ ในอาเซี่ยน ปัจจุบัน EPP มีกำลังการผลิตที่ 32,000 ตัน/ปี ซึ่งมีศักยภาพเพียงพอที่จะรองรับออเดอร์ทั้งในและต่างประเทศ

การปรับธุรกิจหรือองค์กรให้เป็นอุตสาหกรรม 4.0

เราปรับเปลี่ยนมานานแล้ว โดยเริ่มใช้ระบบออโตเมชั่นมาตั้งแต่ปี 1999 เราใช้ทฤษฎี 200,000 ต่อ 1 นั่นหมายความว่า เราลงทุน 200,000 บาท ลดได้ 1 คน ลงทุน 2 ล้าน เราลด ได้ 10 คน สมัยก่อนเรามีรายได้ต่อพนักงานหนึ่งคนไม่ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันจะอยู่ประมาณ 3 – 4 ล้านบาท ปัจจุบันเราใช้นโยบายลงทุนหนึ่งล้านบาทต่อการลดพนักงานหนึ่งคน  ตอนนี้เรามีพนักงานใกล้เคียงกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่เรามียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 4-5 เท่า นั่นหมายถึงเราใช้ในเรื่องของไฮสปีดและออโตเมชั่นอย่างเต็มประสิทธิภาพ

แผนการรุกตลาดต่างประเทศ

ที่ผ่านมา เราได้เสริมแกร่งฐานธุรกิจให้แน่นหนักพร้อมบุกตลาดโลก ด้วย 6 อาวุธหลัก คือ 1.ขยายตลาดส่งออกเพิ่มจาก 100 ประเทศทั่วโลก 2.สร้างมูลค่าจากการวางขุมข่ายตัวแทนผู้จำหน่ายสินค้า(Licensing) ในทวีปยุโรป 3.ขายแฟรนไชส์ในกลุ่มสินค้าเครื่องจักร วัตถุดิบที่พัฒนาขึ้นมาจนมีแบรนด์ยอมรับในวงการ 4.แสวงหาพันธมิตรติดปีกเทคโนโลยี ทั้งจากสหรัฐ จีน และญี่ปุ่น 5.เพิ่มกลุ่มธุรกิจร่วมทุนในต่างประเทศจากเดิมอยู่เฉพาะในไทย ที่ข้ามไปจับมือเพิ่มในจีน ชื่อ แอร์โรเซล คอนสตรัคชั่น แมททรีเรียล ในมณฑล เจียงซู ประเทศจีน และไปตั้งแอร์โรเฟล็กซ์ ในประเทศอินเดียด้วย

เมื่อฐานแข็งแกร่งและเป็นยักษ์ใหญ่ในกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ยาง และพลาสติกที่อุตสาหกรรมทั่วโลกรู้จัก จึงไม่ยากเกินไปที่จะสยายปีกไปลงทุนต่างแดน ครอบคลุมตลาดทั่วโลกในทุกทวีป ป้อนสินค้าให้กับตลาด รวมถึงมีสรรพกำลังเพียงพอที่จะเข้าไปเทคโอเวอร์กิจการ

ความร่วมมือกับองค์กรหรือมหาวิทยาลัย

ตอนนี้เราร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า บางมด ทำอาร์แอนด์ดี และเซ็นทรัลแลปร่วมกัน และส่งบุคลากรไปซัพพอร์ตในโปรเจ็กต่าง ๆ นอกจากนี้ยังร่วมกับทางมหาวิทยาลัยมหิดล เอ็มเทค สวทช ในงานวิจัยต่าง ๆ อีกด้วย

โมเดลความสำเร็จของอีสเทิร์นโพลิเมอร์ กรุ๊ป                                                                     

ความสำเร็จของบริษัท อีสเทิร์นโพลิเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ได้จากการวิจัย พบว่า ความสำเร็จของธุรกิจนั้น เกิดขึ้นจากองค์ประกอบ 7 ประการของการบริหารครอบครัว (Factors of Family Management) และองค์ประกอบ 7 ประการของการบริหารธุรกิจ (Fators of Business Management) ทั้งนี้ การบริหารโครงสร้างภายในที่ดี เราต้องจัดการธุรกิจครอบครัวให้ดีก่อน ปรัชญาการดำเนินชีวิตของกรรมการบริหารทุกคนได้รับการปลูกฝังความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของครอบครัว และการถ่ายทอดมาจากต้นแบบผู้นำครอบครัวที่ดี หล่อหลอมแนวคิด อุดมการณ์ ให้รู้รักสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ตามปรัชญาการดำเนินชีวิต “เมื่อดื่มน้ำจากบ่อ อย่าลืมคนที่ขุดบ่อ” โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ 7 ประการ ดังนี้ 1. Unity ความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน 2. Regulation ธรรมนูญครอบครัว เน้นการใช้ระบบอาวุโส 3. Education ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้อยู่เสมอ 4. Exemplary Leadership ผู้นำทีเป็นแบบอย่างที่ดี 5. Fairness ปฏิบัติตนต่อทุกคนด้วยความเสมอภาค ยุติธรรม 6. Humility & Not luxuries ความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ฟุ่มเฟือย 7. Honest & Transparency มีความซื่อสัตย์ โปร่งใส

นอกจากบริหารครอบครัวด้วยระบบแล้ว ผู้บริหารอีสเทิร์นโพลีเมอร์กรุ๊ป ยังใช้การบริหารธุรกิจด้วยโมเดล NINMOSM” เป็นการบูรณาการแนวคิดปรัชญาการดำเนินธุรกิจร่วมกับการบริหารจัดการสมัยใหม่ ซึ่งโมเดลนี้ได้นำมาทำการวิจัยและพบว่า NINMOSM มีความสัมพันธ์ต่อความสำเร็จของบริษัท และองค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ต่อความสำเร็จสูงสุดคือ ด้านนวัตกรรมและการบริหารจัดกรองค์กร สอดคล้องกับความเป็นผู้นำแห่งนวัตกรรมมาถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ภาพลักณ์ของบริษัทที่สร้างความประทับใจ ความเชื่อมั่น ความศรัทธา ที่พนักงาน ลูกค้า ซัพพลายเออร์ ชุมชน และสังคมรับรู้มาโดยตลอด คือ ความมีคุณธรรมในการดำเนินธุรกิจ ตามหลักปรัฃญา “สร้างองค์กรด้วยคุณธรรม บริหารงานด้วยคุณภาพ” ดังนั้น การสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจครอบครัวระดับ SMEs สู่ธุรกิจระดับบริษัทมหาชน จึงประกอบด้วย 7 องค์ประกอบดังนี้ 1. Niche Marketing การตลาดเฉพาะกลุ่ม ผลิตสินค้าที่เป็นตลาดเฉพาะ 2. Innovation นวัตกรรม มี Know How และทักษะ รวมถึงสิทธิบัตรที่มากกว่า 600 ฉบับทั่วโลก 3. Network การสร้างเครือข่ายขยายตลาดไปทั่วโลก 4. Mass Marketing สร้างเครือข่ายจากตลาด Niche ของทุกเมืองในประเทศทั่วโลก 5. Organization Management จัดระบบโครงสร้างองค์กรอย่างสากล 6. Speed of Business ความเร็วในการประกอบธุรกิจ โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในธรกิจ 7. Moral คุณธรรมในการดำเนินธุรกิจ มีความซื่อสัตย์ ไม่โลภ ไม่เอาเปรียบ

จากแนวคิดนี้ การสร้างความสำเร็จและความเจริญเติบโตของธุรกิจ มิได้หยุดอู่เพียงประเทศไทย EPG Group ได้นำโมเดลความสำเร็จนี้ ไปสร้างเครือข่ายความสำเร็จในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

มาตรฐานรับรองต่าง ๆ

กว่าจะเป็นที่ยอมรับขององค์กรระดับโลกได้เช่นทุกวันนี้ บริษัทในกลุ่ม EPG ต้องผ่านการตรวจสอบตามมาตรฐานต่าง ๆ ที่ได้การรับรองจากหน่วยงานนานาชาติ  อาทิ QS 9000 (มาตรฐานระบบคุณภาพชิ้นส่วนยานยนต์) ISO 9001 (มาตรฐานระบบจัดวางการบริหารงาน) ISO  14001(มาตรฐานระบบจัดการสิ่งแวดล้อม) GMP (หลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร) และ HACCP (มาตรฐานการป้องกันอันตรายางชีวภาพในการผลิตอาหาร) เป็นต้น

และอีกสิ่งที่เป็นเครื่องการันตีความสำเร็จตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของ EPG ก็คือ รางวัลแห่งความภาคภูมิใจที่บริษัทในกลุ่มไดรับจากหน่วยงานและสถาบันต่าง ๆ มากมาย อาทิ รางวัล Prime Minister’s Award รางวัล Asean Outstanding Engineering Achievement Award รางวัลาตรฐานอุตสาหกรรมสีเขียวระดับ 4 รางวัลธรรมภิบาลดีเด่น และรางวัลมาตรฐานแรงงานไทยดีเด่นติดต่อกันหลายปี เป็นต้น

ทั้งนี้ มาตรฐานและรางวัลทั้งหมดนี้ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยหากขาดประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ และการร่วมมือร่วมใจของทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของบริษัท อย่างพนักงานทุกคนในองค์กรแห่งนี้

สไตล์ในการบริหารงาน

เราต้องทุ่มเทให้กับงานและทำงานให้หนัก มีความมุ่งมั่นตั้งใจ เราจะต้องรู้จริงในสิ่งที่ทำ และทำในสิ่งที่รู้และเชี่ยวชาญในธุรกิจ  อย่างของเราทำในเรื่องของ ยาง โพลิเมอร์ พลาสติก หรือคอมโพสิทนั้น

อนาคตของยาง

อุตสาหกรรมยางในบ้านเรา จะเดินไปข้างหน้าได้ จะต้องมีเทคโนโลยี และความต้องการใช้ที่พอเพียง มีการใช้ยางธรรมชาติที่เหมาะสม ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่เราต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี แต่สำหรับคนที่ปลูกยางหรือทำสวนยาง ไม่ควรปลูกเพิ่มอีก แต่ควรจะมีอาชีพเสริมอื่นมารองรับแทน เพราะตอนนี้โอกาสที่จะทำเงินจากยางมีค่อนข้างน้อย เนื่องจากค่าใช้จ่ายในปัจจุบันค่อนข้างสูง เมืองไทยเรามีค่าใช้จ่ายในการกรีดยางที่สูงกว่าอินโดนีเซีย พม่า อินเดีย ศรีลังกา เวียดนาม กัมพูชา และต่อไปจะมีคู่แข่งจากแอฟริกาตะวันตกด้วยซึ่งตอนนี้มีการปลูกยางค่อนข้างมาก สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราไม่มีความสามารถในการแข่งขัน เพราะแต่ละประเทศมีการปลูกยางกันมาก และเราไม่มีคนหรือแรงงาน  ราคายางต่อไปจะไม่แพง มองแล้วว่า ถ้าจะแพงก็แพงในช่วงสั้น ๆ เป็น Political price แต่หลังจากนั้น เป็นเรื่องของดีมานด์ซัพพลาย

นอกจากนี้ ในเรื่องการพัฒนายางสังเคราะห์ มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก  ประเทศจีนสามารถสร้างโรงงานที่ผลิตยางสังเคราะห์ได้ถึง 2 แสนตัน ต่อปี  ภายในระยะเวลา 2 -3 ปี และ ยางสังเคราะห์มีการพัฒนาขึ้นมาก สามารถทำได้ใกล้เคียงกับยางธรรมชาติมาก

ส่วนอะไรที่เป็นเรื่องของ Labour Intensive ต้องบอกรัฐบาลให้ลด และถอย เราไม่จำเป็นต้องเบอร์หนึ่งของโลกหรอก ตอนนี้เราทำยางธรรมชาติสัก 2 ล้านตันก็พอ และใช้เองในประเทศ 8 แสนตัน ตอนนี้เราใช้เองแค่เพียง 4-5 แสนตันเท่านั้น ยางที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก จะทำให้เกิดโอเวอร์ซัพพลาย และเกิดปัญหาตามมาภายหลังได้

บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG: ดำเนินธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมีธุรกิจหลักคือ ฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์  AEROFLEX ชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS และบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์ EPP ทั้ง 3 ธุรกิจ ประสบความสำเร็จและเติบโตได้ด้วยนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ เป็นผู้นำทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ มีโรงงานรวมถึงเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2560 EPG มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 37,520 ล้านบาท

   

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here