TSTH โกยกำไร Q3/65 โตทะลัก 14 เท่า หนุน 9 เดือนแตะ 2.35 พันลบ. หลังปริมาณการขายสินค้าเพิ่มขึ้นและราคาขายสินค้าที่สูงขึ้น

นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทาทา สตีล (ประเทศไทย) (TSTH) เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานของบริษัทฯสำหรับไตรมาสที่ของปีการเงิน 2565 ตุลาคมธันวาคม 2564) ว่า เนื่องจากที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับผลกระทบทางด้านลบอย่างมากต่อภาคการท่องเที่ยวและการบริการ จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ความพยายามล่าสุดในการเปิดประเทศอีกครั้ง ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการโจมตีของโอมิครอน(Omicron) โควิดสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อความเชื่อมั่นของตลาด รายได้สุทธิส่วนบุคคล และเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวม การบริโภคภาคเอกชน (ประมาณร้อยละ 50 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ) ไม่ได้แสดงให้เห็นการปรับปรุงที่ชัดเจนเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาด ภาคก่อสร้างลดลงร้อยละ 4.1 ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส ตามการชะลอตัวของการก่อสร้างสาธารณะ โดยเฉพาะการก่อสร้างของรัฐบาล การก่อสร้างของภาคเอกชนที่ลดลง เช่น การก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย การก่อสร้างในหมวดการบริการและการขนส่งและการก่อสร้างอื่นๆ ในขณะเดียวกัน การก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย (เช่น อาคารพาณิชย์และอาคารโรงงาน) ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

นอกจากนี้ ยังรวมถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงสูงเนื่องจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงผลกระทบของนโยบายการเงินจากกลุ่มประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าจำนวนมาก และภาวะเงินเฟ้อที่สูง

นายราจีฟ เพิ่มเติมว่า ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจนี้ ปริมาณการขายสินค้าสำหรับไตรมาสนี้ของบริษัทอยู่ที่ 321,000 ตัน เทียบกับไตรมาสก่อนซึ่งปริมาณการขายสินค้าอยู่ที่ 326,000 ตัน สำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ปริมาณการขายสินค้าของบริษัทอยู่ที่ 993,000 ตันดีกว่าปีก่อนร้อยละ6 รายได้จากการขายสูงกว่าไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ปริมาณการขายสินค้าในไตรมาสนี้อยู่ที่ 321,000 ตัน ลดลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนอันเนื่องมาจากวันหยุดต่อเนื่องในเดือนธันวาคม

สำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ปริมาณการขายสินค้าของบริษัทอยู่ที่ 993,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 หรือ 56,000 ตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในไตรมาสนี้ บริษัทมีกำไรก่อนภาษี 587 ล้านบาท ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี ก่อนเนื่องมาจากราคาขายที่สูงขึ้น ส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างราคาสินค้าและราคาวัตถุดิบปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

สำหรับงวด 9 เดือน บริษัทมีกำไรก่อนภาษีที่ 2,358 ล้านบาท เทียบกับกำไรก่อนภาษีจำนวน 271 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากราคาขายสินค้าที่สูงขึ้นและปริมาณการขายสินค้าที่เพิ่มมากขึ้น

สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานในงวดปี 65/66 (เม..65-มี..66) ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างทำแผน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมี..65 โดยเบื้องต้นยังเชื่อว่าสินค้าเหล็กลวด (Wire Rod) จะเติบโตต่อเนื่องจากปี64/65 อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าใหม่ ให้แก่ลูกค้าปัจจุบัน เพื่อเพิ่มปริมาณการขายเหล็กให้เติบโตมากขึ้น รวมถึงยังได้เตรียมความพร้อมที่จะขายสินค้าไปยังตลาดใหม่ๆ จากปัจจุบันที่มีการขายอยู่ในประเทศ ลาว กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย และล่าสุดที่แคนาดา โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอประเทศนิวซีแลนด์ คาดว่าจะได้รับอนุญาตเพื่อส่งออกสินค้าในเดือนเม..-..65 ซึ่งจะช่วยให้TSTH ขยายตลาดไปยังนิวซีแลนด์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้นได้

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะขายสินค้าที่เป็นสเปเชียล โปรดักส์ ไปยังหน่วยต่างๆ เช่น การขายเพื่อส่งไปยังโครงการของกรมทางหลวง รวมถึงการขายผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป ตัดและดัด ให้เพิ่มขึ้นด้วย

นายราจีฟ กล่าวถึงความคืบหน้าของการหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ของบริษัทฯ ว่า ขณะนี้ต้องพักการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวไปก่อน 2-3 ปี เพื่อโฟกัสในการดำเนินธุรกิจ หลังจากสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก และต่างจากเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการของ TSTH ที่ทำได้ดีขึ้น ทั้งในแง่ของตัวเลข การดูแลลูกค้า เป็นต้น ทำให้ความต้องการขายหุ้นของบริษัทแม่ลดลง

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here