แม้อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในทิศทางขาขึ้นมาตลอดตั้งแต่ต้นปี ทำให้ต้นทุนทางการเงินปรับตัวสูงขึ้นมากจนบริษัทเอกชนที่เปราะบางบางรายเกิดปัญหาในการชำระหนี้คืน ตลาดตราสารหนี้ไทยยังคงขยายตัวได้ 5.8% ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล และภาคเอกชนเป็นสำคัญ ผู้ออกภาคเอกชนที่มีอันดับเครดิตสูงสามารถออกและเสนอขายหุ้นกู้ได้ตามที่ต้องการ มียอดการออกหุ้นกู้ระยะยาว 824,557 ล้านบาท คิดเป็น 65% ของยอดการออกในปี 2565
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 ตลาดตราสารหนี้ไทยขยายตัวได้ 5.8% จากสิ้นปีที่แล้ว โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ภาคเอกชนเป็นสำคัญแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวสูงขึ้นโดยตลอดตั้งแต่ต้นปี โดยมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2566 มีมูลค่าเท่ากับ 16.7 ล้านล้านบาท ขยายตัว 5.8% จากสิ้นปีที่แล้ว ในส่วนของการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว (หุ้นกู้) ในช่วง 3 ไตรมาสของปี 2566 มีมูลค่า 824,557 ล้านบาท คิดเป็น 65% ของมูลค่าการออกทั้งปี 2565 โดยผู้ออกภาคเอกชนที่มีอันดับเครดิตสูงยังสามารถออกและเสนอขายหุ้นกู้ได้ตามที่ต้องการ ขณะที่ผู้ออกบางส่วนได้ชะลอการออกหุ้นกู้ไปก่อนเพื่อรอจังหวะตลาดและอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการออกสูงสุดคือกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ ตามมาด้วย กลุ่มพลังงาน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธนาคาร
กระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund flow) ของนักลงทุนต่างชาติ มียอดการขายสุทธิตราสารหนี้ไทยติดต่อกันใน3 ไตรมาสแรก ทำให้มียอดการขายสุทธิสะสม 1.5 แสนล้านบาท การถือครองตราสารหนี้ไทยของนักลงทุนต่างชาติณ สิ้นไตรมาส 3 มียอดรวมที่ 9.4 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5.6% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย โดยตราสารหนี้ไทยที่ต่างชาติถือครองมีอายุคงเหลือเฉลี่ยที่ 8.3 ปี เพิ่มขึ้นจาก 8.0 ปี เมื่อ ณ สิ้นปี 2565
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Government bond yield curve) ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2023 ปรับตัวสูงขึ้นทุกช่วงอายุ โดยมีความชันลดลงจากการปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากของ Bond yield ระยะสั้นตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย 5 ครั้งในปี 2566 อีกทั้งการประกาศแผนการออกพันธบัตรรัฐบาลในปีงบประมาณ 2567 ที่เพิ่มขึ้น 0.16 ล้านล้านบาท จากปีงบประมาณที่ผ่านมา ประกอบกับเริ่มมีความชัดเจนในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลหลายโครงการ ส่งผลให้ Bond yield ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาส 3 โดย Bond yield ไทยรุ่นอายุ 2 ปี ปรับตัวสูงขึ้น 90 bps. จากสิ้นปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 2.54% ส่วนBond yield 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้น 54 bps. มาอยู่ที่ 3.18% ณ สิ้นไตรมาส 3
อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate bond yield curve) อายุ 5 ปีของหุ้นกู้ทุกอันดับเครดิตปรับตัวสูงขึ้น 64-87 bps. ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 ใกล้เคียงกับการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2566 อันดับเครดิต AAA ปรับตัวมาอยู่ที่ 3.48% AA ที่ 3.73% A ที่ 3.94% BBB+ ที่ 4.95% และ BBB ที่ 5.90%
สำหรับการประมาณการยอดการออกหุ้นกู้ในปี 2566 คุณอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) คาดว่ายอดการออกหุ้นกู้ระยะยาวทั้งปี 2566 มีโอกาสแตะที่ระดับ 1 ล้านล้านบาท สูงกว่ายอดการออกเฉลี่ยในช่วง 7 ปี (ปี 2559-2565) ที่ 9.5 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ยังได้กล่าวถึงผลการสำรวจการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของผู้ร่วมตลาด ที่ส่วนใหญ่คาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่2.50% ในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีในเดือนพฤศจิกายนนี้ ขณะที่ Bond yield รุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี ผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 10-15 bps. จาก ณ สิ้นไตรมาส 3 ขึ้นไปที่ 2.94% สำหรับรุ่นอายุ 5 ปี และขึ้นไปที่3.29% สำหรับรุ่นอายุ 10 ปี ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และอุปสงค์–อุปทานของตลาดตราสารหนี้ไทย
พร้อมกันนี้ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ได้มีการเปิดตัว MeBond Mobile App เวอร์ชันใหม่ไปเมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา ทั้งในระบบ IOS และ Android โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หลังจากการเปิดใช้งานครั้งแรกในปี2020 และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน โดย MeBond by ThaiBMA เวอร์ชันใหม่นี้ ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้โดดเด่นมากขึ้นในด้าน Stability, Speed, Security และ Smooth เพื่อเพิ่มความสะดวกให้นักลงทุนมากยิ่งขึ้น