ส.อ.ท. แถลงผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ เดือน ก.ย. 61 ปรับตัวลดลงจากเดือน ส.ค. เนื่องจากมีความกังวลต่อราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน มีแนวโน้มจะยืดเยื้อ ส่วนอุตสาหกรรมยางและพลาสติก ส่งผลด้านบวก มียอดขายและคำสั่งซื้อในประเทศเพิ่มขึ้น

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ ประจำเดือนกันยายน 2561 จำนวน 1,204 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดย ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2561 อยู่ที่ระดับ 91.5 ปรับตัวลดลงจากระดับ 92.5 ในเดือนสิงหาคม ทั้งนี้ ค่าดัชนีฯ ที่ลดลง เกิดจากองค์ประกอบ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ

จากการสำรวจพบว่า ในเดือนกันยายน ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง กระทบต่อต้นทุนการผลิตและการขนส่ง ขณะที่ผู้ประกอบการส่งออกเห็นว่า เงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับภูมิภาคทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง รวมทั้งปัญหาความแออัดของท่าเรือที่ทำให้เกิดความล่าช้าในการขนส่งสินค้า ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเห็นว่าข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน มีแนวโน้มจะยืดเยื้อ

อย่างไรก็ตาม พบว่า ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ปรับตัวเพิ่มขึ้นและ ดัชนีฯ มีค่าเกินระดับ 100 สะท้อนมุมมองต่อการประกอบการในระดับที่ดี ซึ่งพบว่า ผู้ประกอบการสามารถวางแผนควบคุมการผลิตและบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันความเชื่อมั่นด้านการส่งออก ยังมีทิศทางที่ดีสะท้อนจากดัชนียอดคำสั่งซื้อและยอดขายในต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ระดับ 106.1 เพิ่มขึ้นจากระดับ 105.6 ในเดือนสิงหาคม จากความชัดเจนของภาครัฐเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง ประกอบกับช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 อุปสงค์ของสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่

ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นฯ รายภูมิภาค ประจำเดือนกันยายน 2561 จากการสำรวจ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ ปรับตัวลดลงจากเดือนสิงหาคม ขณะที่ค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม โดยมีรายละเอียดดังนี้

อุตสาหกรรมในภาคกลางที่ส่งผลด้านบวกต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่

อุตสาหกรรมพลาสติก (สินค้าประเภทถุงพลาสติก ฟิล์มพลาสติก และกระสอบพลาสติก มียอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น ด้านการส่งออกบรรจุภัณฑ์พลาสติกและเครื่องใช้ในครัวเรือน มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากตลาดอาเซียน)

ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 109.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 109.0 ในเดือนสิงหาคม องค์ประกอบดัชนีฯ คาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ

อุตสาหกรรมในภาคเหนือที่ส่งผลด้านบวกต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่

อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ (เฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปประเภทไม้ และเหล็ก มียอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และจัดงานแสดงสินค้าเพื่อกระตุ้นยอดขาย ด้านการส่งออกชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากประเทศสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และยุโรป)

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 95.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 95.3 ในเดือนสิงหาคม องค์ประกอบดัชนีฯ คาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม และผลประกอบการ

อุตสาหกรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ส่งผลด้านบวกต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่

อุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม (เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ประเภทแผงวงจรไฟฟ้า มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ขณะที่โทรศัพท์มือถือมียอดขายในประเทศเพิ่มขึ้นจากงาน Thailand Mobile Expo 2018)

อุตสาหกรรมสิ่งทอ (เส้นใยสิ่งทอ และเส้นใยสังเคราะห์โพลีเอสเตอร์ มียอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น ด้านการส่งออกเส้นใยสังเคราะห์โพลีเอสเตอร์ มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เวียดนาม)

อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ (คอนกรีตผสมเสร็จ มียอดขาย และคำสั่งซื้อในประเทศเพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้ในโครงการก่อสร้างของภาครัฐ)

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 102.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 102.4 ในเดือนสิงหาคม องค์ประกอบดัชนีฯ คาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ

อุตสาหกรรมในภาคตะวันออกที่ส่งผลด้านบวกต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่

อุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ (ชิ้นส่วนยานยนต์ มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากประเทศญี่ปุ่น อินโดนีเซีย สหรัฐฯ และจีน ขณะที่อะไหล่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ มียอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น ตามการ-ขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์)

อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและโลหะการ (เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม มียอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น และส่งออกไปประเทศจีนและญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น)

อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ (สินค้าประเภทเครื่องประดับทอง และอัญมณี มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากในประเทศ และตลาดต่างประเทศ อาทิ สหรัฐฯ, เยอรมนี และฮ่องกง)

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 112.7 เพิ่มขึ้นจากระดับ 112.3 ในเดือนสิงหาคม องค์ประกอบดัชนีฯ คาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ

อุตสาหกรรมในภาคใต้ที่ส่งผลด้านบวกต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่

1. อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง (ถุงมือยางทางการแพทย์ ถุงยางอนามัย ล้อยางรถยนต์ มีคำสั่งซื้อภายในประเทศเพิ่มขึ้น ด้านการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ และญี่ปุ่น)

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 106.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 105.1 ในเดือนสิงหาคม องค์ประกอบดัชนีฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดรับคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ

ทั้งนี้ ทาง ส.อ.ท. ขอให้ภาครัฐคงมาตรการในการดูแลราคาน้ำมันดีเซล ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบต่อต้นทุนการผลิตและต้นทุนการขนส่งของผู้ประกอบการและยังเสนอให้ภาครัฐใช้ประโยชน์จากสงครามการค้าในการเชิญนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ และให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับแรงงานไทย

ติดตามข่าวสารข้อมูลยางและพลาสติก เพิ่มเติมที่ www.rubberplasmedia.com, www.rubbmag.com

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here