นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และนายทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ (President) สองผู้บริหารของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่อย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ร่วมแสดงวิสัยทัศน์สร้างการเติบโตที่ยั่งยืนของ GC ด้วยการเดินหน้าสานต่อกลยุทธ์ 3 Steps Plus รักษาฐานให้แข็งแรง เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน สร้าง Synergy ปรับพอร์ตโฟลิโอ มุ่งสู่กลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและคาร์บอนตํ่า (High Value & Low Carbon Business) รุกธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ด้วย allnex และ NatureWorks อีกทั้งสร้างโอกาสการเติบโตของมาบตาพุด และพัฒนาStrategic Partnership เพื่อตอบสนองเมกะเทรนด์ของอุตสาหกรรมแห่งอนาคตสู่การเป็น Hub ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมทำงานร่วมกับกลุ่ม ปตท. ในโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ และต่อยอดเป็นธุรกิจแห่งอนาคต

นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ CEO GC กล่าวว่าก้าวต่อไปในการสร้างความเติบโตที่ยั่งยืนของ GC เราพร้อมสานต่อกลยุทธ์ 3 Steps Plus – ประกอบด้วย Step Change – Step Out – Step Up เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยเรานำความพร้อมด้านนวัตกรรม ศักยภาพการผลิตผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์และพลาสติกชีวภาพที่เรามีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ มาต่อยอดและตอบสนอง      แนวโน้มความต้องการของอุตสาหกรรมใหม่ตามเทรนด์โลก

ทั้งนี้ กลยุทธ์ Step Out หรือการสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจต่างประเทศ มีบทบาทอย่างมากต่อการเติบโตในอนาคตของบริษัทฯ โดยกลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ (High Value & Low Carbon Business) จะมุ่งเน้นการขยายตลาดและสร้างสรรค์เคมีภัณฑ์ผ่าน allnex ที่มีโรงงานและฐานธุรกิจสารเคลือบผิว (Coating Resins) อยู่34 แห่งทั่วโลก  สำหรับการพัฒนาฐานการผลิต (Hub) ของ allnex ในทวีปต่างๆ นั้น allnex ประสบความสำเร็จในการพัฒนา China Hub จึงได้นำมาต่อยอดขยายฐานผลิตในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพการเติบโต ได้แก่ โรงงานMahad รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย และแห่งใหม่ในอนาคต โรงงานมาบตาพุด ประเทศไทย เพื่อเป็น Hub ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ในตลาดเคลือบผิวในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตสูงได้แก่ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ บรรจุภัณฑ์ โลหะอุตสาหกรรม เฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งเคลือบผิวอาคารแบบพิเศษ (Special Decoration)

ขณะที่ กลุ่มธุรกิจ Bio และ Green ซึ่ง NatureWorks ผู้ผลิตไบโอพลาสติกประเภทโพลิแลกติกแอซิด (PLA) ชั้นนำของโลก ใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพชนิดย่อยสลายได้ สามารถนำไปใช้ในหลากหลายแอปพลิเคชัน เช่น แคปซูลกาแฟ ถุงชา และ วัสดุสำหรับการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) ด้วยคุณสมบัติที่มีประสิทธิภาพเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์เทรนด์ความยั่งยืน  โดย GC ถือหุ้น 50% ร่วมกับ Cargill อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิต PLA ครบวงจรแห่งใหม่ ที่นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (Nakhonsawan Bio Complex – NBC) มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2568 ซึ่งจะเป็น Bio Complex แห่งแรกของประเทศไทย โดยใช้น้ำตาลจากอ้อยเป็นวัตถุดิบหลักเพื่อผลิต Lactic Acid ซึ่งนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต PLA มีกำลังการผลิต 75,000 ตันต่อปี ช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้าน Bio และ Green ของประเทศ สร้างโอกาสแก่ภาคเกษตรกรรมและพัฒนาเศรษฐกิจไปอีกขั้น จะทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกเพื่อตอบสนองความต้องการวัสดุเพื่อความยั่งยืน(Sustainable Material) สู่ตลาดโลก

ในส่วนของกลยุทธ์ Step Up หรือการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ GC สานต่อแนวทางการบูรณาการหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ภายใต้กรอบของ ESG ( Environmental – Social – Governance สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล) พร้อมเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Target) ภายในปี 2593 แนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ การทำงานร่วมกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ในโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือCarbon Capture and Storage (CCS) ทั้งในการศึกษาเรื่อง Carbon Capture Technology ผ่านการลงทุนในCorporate Venture Capital (CVC) และการศึกษาโอกาสในการนำไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ (Blue/Green Hydrogen) ไปใช้และพัฒนาโมเดลธุรกิจเพื่อต่อยอดเป็นธุรกิจแห่งอนาคต

ด้าน นายทศพร บุณยพิพัฒน์ President GC ได้กล่าวถึงบทบาทหน้าที่ในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ Step Change ว่าแนวทางที่สำคัญในการยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และการรักษาฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งอย่างรอบด้านของ GC เราจะเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดอย่างต่อเนื่องเพื่อลดต้นทุนการผลิตและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยง Value Chain ให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด รวมถึงสามารถรองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เคมีมูลค่าสูงที่เกิดจากความร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ในอนาคตได้เป็นอย่างดีนับเป็นการบริหารการลงทุนอย่างครบวงจรเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2567

ในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2567 ที่ผ่านมา GC มีรายได้การขายรวม 155,187 ล้านบาท มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ อะโรเมติกส์และโอเลฟินส์ ตามลำดับ มีกำไรจากการดำเนินงานปกติจำนวน 703 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าโดยบริษัทฯ รับรู้ขาดทุนจากการดำเนินการปกติและรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานปกติ ทำให้มีผลขาดทุนสุทธิรวม 606 ล้านบาท สะท้อนถึงความสามารถในการรับมือและดำเนินธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนวทางการสร้างการเติบโตของ GC ในช่วงครึ่งปีหลัง  

1. ผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value) และคาร์บอนต่ำ (Low Carbon)

การต่อยอดธุรกิจผ่าน allnex ตามแนวทางกลยุทธ์การปรับพอร์ตธุรกิจของ GC ให้มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจผลิตภัณฑ์ High Value ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง    

2. ยกระดับสร้างโอกาสการลงทุนในมาบตาพุด รองรับการขยายตัวการลงทุนและเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว และคาดว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีรายได้ประชาชาติ (GDP) เติบโตที่ 4.6% GC จึงวางแผนสรรหา และพัฒนา Strategic Partnership ดึงดูดการลงทุนธุรกิจ High Value/ Specialty Chemicals สนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมต่าง ที่มีแนวโน้มจะสร้างฐานการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  

นายณะรงค์ศักดิ์ CEO GC เสริมว่าด้วยจุดแข็งของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดในด้านความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและทำเลที่ตั้งอันเป็นศูนย์กลางการส่งออกสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดโลก  วันนี้เราจึงได้เห็นแนวโน้มความสนใจการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ทันสมัยเกิดขึ้นมากมายในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้อัตราการใช้เคมีภัณฑ์ต่อประชากรยังมีโอกาสเติบโตอีกมากเมื่อเทียบกับทวีปอื่นๆ ซึ่ง GC มีศักยภาพและความพร้อมตอบสนองความต้องการและสามารถร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์กับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมได้หลากหลาย จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจของ GC”

กลยุทธ์ 3 Steps Plus ได้สร้างความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ GC ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้ได้รับรางวัลเกียรติยศในระดับประเทศและระดับนานาชาติมากมาย เช่น เป็นบริษัทหนึ่งเดียวในโลกที่ได้รับการจัดอันดับจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ในกลุ่ม World Index ให้เป็นที่ 1 ในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ 5 ปีต่อเนื่อง โดย S&P Global และล่าสุดกับการเป็นบริษัทไทยหนึ่งเดียวในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์และ เป็น 1 ใน 7 องค์กรไทย จากทั้งหมด 350 องค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ได้รับการประกาศเป็นองค์กรชั้นนำด้านสภาพอากาศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประจำปี 2567 (Asia-Pacific Climate Leaders 2024) โดย Financial Times จากการวิเคราะห์ข้อมูลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญของ Statista ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here