บริษัท เฮงเค็ล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค และเทคโนโลยีกาวชั้นนำจากเยอรมนี โชว์นวัตกรรมการผลิตแบบ Smart Factory ที่โรงงานเทคโนโลยีกาว ชลบุรี สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ย้ำความเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีกาวเพื่ออุตสาหกรรมของโลก
มร. อีริค อีเดลแมน ประธาน บริษัท เฮงเค็ล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ประเทศไทยถือเป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีความสำคัญต่อเฮงเค็ลมาก ด้วยกลุ่มคนชั้นกลางและกำลังซื้อที่กำลังขยายตัว ในปีนี้บริษัทจึงมุ่งสร้างการเติบโตด้วยการปรับธุรกิจเข้าสู่ดิจิตอล โดยให้ความสำคัญกับคู่ค้าและผู้บริโภค รวมถึงเพิ่มนวัตกรรมและสร้างการเติบโตให้ธุรกิจในระยะยาว ทั้งนี้ เฮงเค็ล ยังลงทุนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในสายการผลิตในไทย โดยใช้ดิจิตอลและอุตสาหกรรม 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ จนประสบความสำเร็จในการนำแนวคิด Smart Factory หรือโรงงานอัจฉริยะมาใช้ในโรงงานที่บางปะกง นอกจากนี้ ยังร่วมกับพันธมิตรในการเปิดศูนย์ฝึกอบรมและบริการซ่อมบำรุงเครื่องจักรอุตสาหกรรม 2 แห่งที่ระยอง เพื่อเสริมการให้บริการโซลูชั่นกาวที่ปัจจุบันเฮงเค็ลเป็นผู้นำในตลาดทั่วโลก
ด้าน นายอิศรา เกษมเศรษฐ ผู้จัดการโรงงานผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีกาว เฮงเค็ลประเทศไทย กล่าวว่า โรงงานเทคโนโลยีกาว ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ. ชลบุรี เป็นหนึ่งในฐานการผลิตสำคัญของภูมิภาคซึ่งผลิตสินค้าเทคโนโลยีกาวกว่า 500 ชนิด สำหรับอุตสาหกรรม 7 ประเภท อาทิ เช่น กาวบรรจุภัณฑ์และสินค้าอุปโภคบริโภค กาวยานยนต์และโลหะ กาวเพื่อผู้บริโภค, ช่างฝีมือ และงานก่อสร้าง และกาวอุตสาหกรรมอิเลคทรอนิคส์ เป็นต้น โดยโรงงานแห่งนี้ มุ่งพัฒนาสู่ อุตสาหกรรม 4.0 และเริ่มการผลิตโดยใช้เทคโนโลยี Smart Factory ตั้งแต่ ปี 2558 ซึ่ง เฮงเค็ล ได้นำนวัตกรรมมาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพในการผลิต ลดต้นทุนและเวลาในการผลิตสินค้า อีกทั้งยังลดการใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ มีการใช้วัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ของเสียในกระบวนการผลิตลดลง ทำให้โรงงานแห่งนี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
“การนำระบบ Smart Factory มาใช้กับโรงงานกาวที่ชลบุรี ทำให้เราสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเห็นได้ชัด เมื่อปีที่แล้ว โรงงานของเรามีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง 12% จากปี 2560 และมีการทำงานติดต่อกันมากกว่า 3,300,000 ชั่วโมง หรือ 5,000 วัน โดยไม่มีอุบัติเหตุที่ทำให้พนักงานต้องหยุดงาน ซึ่ง เฮงเค็ล ภูมิใจกับความสำเร็จที่เกิดขึ้นและยังคงพัฒนาประสิทธิภาพของการทำงานต่อไป”
นอกจากนี้ ความสำเร็จที่เกี่ยวกับความยั่งยืนที่เห็นได้ชัดในปี 2561 ได้แก่ โรงงานสามารถลดการใช้พลังงานได้ 17% ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 16% และลดของเสียในระบบ 46% เมื่อเทียบกับปี 2555อีกทั้งการใช้น้ำและน้ำเสียในระบบยังลดลงถึง 20% อีกด้วย
นายอิศรา กล่าวเสริมว่า ระบบ Smart Factory เป็นการทำให้กระบวนการผลิตทั้งหมดเป็นรูปแบบดิจิทัล ตั้งแต่การจัดการวัตถุดิบ การผลิต จนถึงสินค้าที่ผลิตแล้วเสร็จ โดยมีการจัดการข้อมูลทั้งระบบด้วยระบบคอมพิวเตอร์และวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบ Data Analytics ทำให้ประสิทธิในการผลิตสูงขึ้นและมีความยืดหยุ่น เพื่อตอบสนองกับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เฮงเค็ล มีความเชื่อในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้พนักงานมีส่วนร่วมและเพิ่มทักษะในการทำงานด้วยระบบ Lean Manufacturing เพื่อตอบรับกับการทำงานในรูปแบบ Smart Factory สร้างมูลค่าองค์กรที่เพิ่มสูงขึ้นและลดรอยเท้าที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
เฮงเค็ล ยังมุ่งมั่นสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของพนักงาน โดยคาดหวังที่จะสร้างระบบการทำงานที่ปลอดจากอุบัติเหตุ ภายในปี 2565 โดยบริษัทแห่งนี้ประสบความสำเร็จในการสร้างความปลอดภัยและอาชีวอนามัยอย่างยั่งยืน ด้วยการดำเนินมาตรการเชิงรุก อาทิเช่น มีการตรวจสอบความปลอดอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม (SHE) เป็นประจำ มีการประเมินกระบวนการที่มีความเสี่ยงอย่างครอบคลุม รวมทั้งประเมินและวิเคราะห์ความเสี่ยงในการทำงาน มีการสร้างความตะหนักรู้ให้กับพนักงาน มีโครงการปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อให้เกิดความปลอดภัย รวมทั้งมีการฝึกอบรมและให้ข้อมูลข่าวสารด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการปรับปรุงกระบวนการผลิตและเครื่องจักรเพื่อให้เกิดการลดการใช้น้ำ ใช้พลังงานและทรัพยากรให้น้อยลงอีกด้วย
โดยโรงงานผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีกาว ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ผลิตสินค้ากาวภายใต้แบรนด์ชั้นนำ อย่างเช่น Loctile, Technomelt และ Terosonมีพนักงานรวม 150 คน ผลิตสินค้าประเภทกาวเพื่ออุตสาหกรรมมากกว่า 500รายการ และมีการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างและหลากหลาย เช่น เทคโนโลยีการผลิตกาว ผลิตภัณฑ์กันซึม และเคมีภัณฑ์เพื่อการเตรียมพื้นผิว สำหรับลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโรงงานแห่งนี้ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001, ISO 140001 และ OHSAS 180001
สำหรับ เฮงเค็ล ประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2515 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ มีธุรกิจในประเทศไทย 2 ธุรกิจ คือ กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีกาว และกลุ่มธุรกิจบิวตี้แคร์ โดยมีโรงงานทั้งสิ้น 3 แห่งในประเทศไทย คือ โรงงานเทคโนโลยีกาว 2 แห่ง ที่จังหวัดสมุทรปราการและชลบุรี และโรงงานผลิตสินค้าบิวตี้แคร์ อีก 1 แห่ง ที่จังหวัดชลบุรี
อนึ่ง เฮงเค็ล ดำเนินธุรกิจทั่วโลกด้วยพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ที่สมดุลและหลากหลาย บริษัทฯ เป็นผู้นำในสามกลุ่มธุรกิจทั้งในธุรกิจเพื่ออุตสาหกรรมและธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค อันเป็นผลมาจากแบรนด์ นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง ธุรกิจเทคโนโลยีกาวของเฮงเค็ล (Adhesive Technologies) เป็นผู้นำในตลาดกาวในทุกอุตสาหกรรมทั่วโลก ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน และผลิตภัณฑ์บิวตี้แคร์ (Laundry & Home Care and Beauty Care businesses) เฮงเค็ลเป็นผู้นำในหลายตลาดและประเภทผลิตภัณฑ์ทั่วโลก เฮงเค็ลก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2419 และมีประวัติความสำเร็จอันยาวนานกว่า 140 ปี ในปี พ.ศ. 2560 เฮงเค็ลมียอดขายมากกว่า 2 หมื่นล้านยูโร และมีผลกำไรดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้ว 3,500 ล้านยูโร แบรนด์ชั้นนำ 3 อันดับแรกของเฮงเค็ล คือ ล็อคไทท์ (กาว) ชวาร์สคอฟ (ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม) และเพอร์ซิล (ผงซักฟอก) มียอดขายรวมกัน 6,400 ล้านยูโร เฮงเค็ลมีพนักงานมากกว่า 53,000 คนทั่วโลก ซึ่งมีความหลากหลายมีความมุ่งมั่น รวมกันเป็นหนึ่งเดียวด้วยวัฒนธรรมขององค์กรที่แข็งแกร่ง มีจุดมุ่งหมายร่วมกันในการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน และมีคุณค่าร่วมกัน ในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับ เฮงเค็ลได้รับการยกย่องจากดัชนีและการจัดอันดับระหว่างประเทศต่างๆ หุ้นบุริมสิทธิของเฮงเค็ลจดทะเบียนอยู่ในดัชนีหลักทรัพย์ DAX ของเยอรมนี ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเข้าชมที่ www.henkel.com