นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดําเนินงานของบริษัท สําหรับไตรมาสที่ 1 ของปีการเงิน 2566 (เมษายนมิถุนายน 2565) มีปริมาณการขายสินค้าที่ 308,000 ตัน ลดลงร้อยละ 10 และร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อนตามลําดับ รายได้จากการขายอยู่ที่ 8,726 ล้านบาท กําไรก่อนภาษี 584 ล้านบาท เทียบกับกําไร 242 ล้านบาทในไตรมาสก่อน

ราคาพลังงานและอาหารพุ่งสูงขึ้น การหยุดชะงักของอุปทานที่เกิดจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อระหว่างรัสเซียกับยูเครนการฟื้นตัวของกรณีโควิดในจีน และการขับเคลื่อนโดยธนาคารกลางทั่วโลกในการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจากระดับต่ำสุดได้ชะลอการเติบโตทั่วโลก อัตราเงินเฟ้อที่สูงถือเป็ นภัยคุกคามหลักต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งขึ้น ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าตามสกุลเงินเอเชียอื่นๆ

ในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ ภาวะตลาดโดยรวมของประเทศไทยในช่วงไตรมาสนี้ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ปริมาณขายสินค้าของบริษัทสำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ 308,000 ตัน รายได้จากการขายอยู่ที่ 8,726 ล้านบาท

สินค้าคงคลังของบริษัทเพิ่มขึ้น 903 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ส่วนใหญ่มาจากการนำเข้าเหล็กแท่งและเศษเหล็ก ในด้านระยะเวลาการจัดเก็บอยู่ที่ 54วัน สิ้นเดือนมิถุนายน 2565เทียบกับ 45วัน เมื่อสิ้นเดือนมีนาคม 2565

ปริมาณการขายสินค้าในไตรมาสนี้ที่ 308,000 ตัน ลดลงร้อยละ 10 และร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปี ก่อนตามลำดับ เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่ซบเซา ลูกค้าเลือกที่จะรอดูสถานการณ์เนื่องจากราคาวัตถุดิบเริ่มอ่อนตัวลง อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกสินค้าเพิ่มสูงขึ้นจากการส่งออกเหล็กเส้นที่เพิ่มขึ้น

รายได้จากการขายและบริการที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี ก่อน ซึ่งสะท้อนถึงราคาสินค้าที่สูงขึ้น สอดคล้องกับราคาโลหะและต้นทุนการผลิตอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น

ปัจจัยสำคัญมาจากราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงประสิทธิภาพการส่งออกที่ดีขึ้นโดยเฉพาะการส่งออกเหล็กเส้น ขณะที่อุปสงค์ในประเทศยังซบเซา ลูกค้าเลือกที่จะรอดูสถานการณ์เนื่องจากราคาวัตถุดิบเริ่มอ่อนตัวลง รวมทั้งราคาพลังงานและอาหารปรับตัวสูงขึ้น ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อระหว่างรัสเซียกับยูเครน

นายราจีฟ กล่าวถึงการผลิตเหล็กของจีนว่า ยังลดลงต่อเนื่อง แม้การฟื้นตัวของโควิดในจีนจะดีขึ้น โดยการผลิตเหล็กดิบของจีนในช่วงระหว่างเดือน .. – มิ.. 65 อยู่ที่ 526 ล้านตัน (ลดลง 6.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) เนื่องจากความต้องการเหล็กที่อ่อนแอจากอสังหาริมทรัพย์ ข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับโควิดและข้อจํากัดในช่วงโอลิมปิกฤดูหนาว ทำให้ดัชนี PMI ของเหล็กยังคงต่ำกว่า 50 ตั้งแต่ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้โรงรีดเหล็กของจีนต้องรุกตลาดส่งออกมากขึ้น อย่างไรก็ตามคาดว่าการผลิตและอุปสงค์ในประเทศจีน จะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากข้อจํากัดด้านโควิดที่ลดลงและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยลบจากแนวโน้มขาลงของราคาวัตถุดิบและสินค้าสําเร็จรูปในต่างประเทศมีแนวโน้มที่จะดําเนินต่อไปในไตรมาสที่อ่อนแอของฤดูกาลนี้ ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่มั่นใจในราคา ส่งผลให้มีการซื้ออย่างจํากัดและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากราคาพลังงาน ถ่านหิน อัลลอยด์และสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นจะส่งผลเสียต่อการบริโภคและการลงทุนในประเทศ รวมถึงความเสี่ยงของการนําเข้าที่สูงขึ้น เนื่องจากบริษัทหันไปส่งออกเพื่อสร้างสมดุลให้กับตลาดในประเทศ

บริษัทฯ ได้เตรียมแผนรับมือความเสี่ยงด้านต่างๆ โดยมีการริเริ่มจําหน่ายเหล็กลวดคาร์บอนสูง (HCWR) ให้กับอินโดนีเซีย และส่งออกไปยังแคนาดาอย่างสม่ำเสมอ ในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 65 รวมถึงการรุกสู่ตลาดส่งออกใหม่ๆ ได้มีการนำเทคนิคการบริหารจัดการแบบลีนสู่การปฏิบัติ การควบคุมต้นทุนในการดําเนินงานผลิตของโรงงาน และลงทุนในผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่อง

นายราจีฟ กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลกว่า มีแรงขับเคลื่อนโดยธนาคารกลางทั่วโลกในการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจากระดับต่ำสุด ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่สูงถือเป็นภัยคุกคามหลักต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าตามสกุลเงินเอเชียอื่น

สำหรับแนวโน้มธุรกิจ ยังมีปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจไทย คาดว่าจะดีขึ้นในครึ่งปีหลัง 65 จากการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และภาครัฐยังคงสนับสนุนโครงการก่อสร้างต่อเนื่อง จะนําไปสู่การสร้างอุปสงค์ แต่ความเสี่ยงของอุปสงค์ที่ลดลงยังคงมีอยู่ ด้านการบริโภคของภาคเอกชน มีแนวโน้มดีขึ้น จากมาตรการผ่อนคลายโควิด-19 และอุปสงค์ที่ถูกกั้นไว้

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here