สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) ร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) จัดพิธีปิดโครงการ “การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับภาคการขนส่งทางบกในภูมิภาคอาเซียน” เพื่อรายงานความสำเร็จและถอดบทเรียนที่ได้จากการดำเนินงานด้านการลดการใช้น้ำมันของยานพาหนะและลดการปล่อยมลพิษจากภาคการขนส่ง

ในส่วนของประเทศไทย ได้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของยานพาหนะมาตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2559 และโครงการฯ ได้เข้ามาผลักดันให้เกิดการปรับปรุงมาตรการการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตดังกล่าว โดยทำการศึกษานโยบายการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคขนส่งทางบก และพบว่ามาตรการการปรับปรุงอัตราการ เก็บภาษีสรรพสามิตฯ นี้ กระตุ้นให้ผู้ผลิตรถยนต์เกิดการปรับตัวที่จะผลิตรถใหม่ซึ่งช่วยประหยัดพลังงาน ส่งผลให้เกิดการลดการใช้น้ำมันเฉลี่ยจาก 7.08 ลิตรต่อ 100 กม. ในปี พ.ศ. 2558 เหลือเพียง 6.75 ลิตรต่อ 100 กม. ในปี พ.ศ. 2560 สำหรับรถใหม่ทุกคันที่ขาย

ายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การใช้พลังงานจากภาคการขนส่ง นอกจากจะส่งผลต่อเศรษฐกิจ สังคม และปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหา PM 2.5 แล้ว ยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกด้วย เนื่องจากปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะแปรผันกับการใช้พลังงาน กล่าวคือ ยิ่งมีการใช้พลังงานจากภาคการขนส่งมาก ก็ยิ่งมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์มาก ซึ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่สามารถสลายไปได้ ต่างจาก PM 2.5 ที่จะสลายไปได้ตามธรรมชาติเมื่อเจอฝนและลมมรสุม การใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคการขนส่งที่สูงถึง 61 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2e) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 19.2 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของประเทศไทย จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกท่านควรใส่ใจอย่างยิ่ง เนื่องจากก๊าซเรือนกระจกส่งผลต่อโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว

Caroline Capone ผู้อำนวยการโครงการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับภาคการขนส่งทางบกในภูมิภาคอาเซียนของ GIZ กล่าวว่า “เป็นที่น่าสนใจว่าประเทศไทยมีนโยบายการขนส่งยั่งยืนที่พัฒนาไปมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นยกตัวอย่างเช่น นโยบายการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยโครงการฯ เข้ามาผลักดันให้เกิดการปรับปรุงมาตรการการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตดังกล่าให้ดีขึ้น ส่งผลให้เกิดการลดการใช้น้ำมันเฉลี่ยในรถยนต์ใหม่ทุกคัน หากมีการดำเนินมาตการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตตามการปล่อยมลพิษในลักษณะนี้ต่อไป ในปี พ.ศ. 2573 จะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 4.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และหากมีการปรับปรุงมาตรการทางภาษีที่เข้มข้นขึ้นร่วมกับมาตรการอื่นๆ เช่น การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของรถจักรยานยนต์ การปรับปรุงอัตราการเก็บภาษีรถยนต์ประจำปีตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และการปรับปรุงอัตราการเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลให้เข้มข้นขึ้น ก็จะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อีก 4.75 ล้านต้นคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในปีพ.ศ. 2573 คิดเป็นร้อยละ 29 ของเป้าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคขนส่ง ตามข้อตกลงที่รัฐบาลไทยได้ให้ไว้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 21 (COP21)

แม้ว่าโครงการฯ จะสิ้นสุดลง แต่ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและเยอรมนีจะยังคงอยู่ โดยตั้งแต่ปีพ.ศ.2562 GIZ จะดำเนินงานเกี่ยวกับการขนส่งในเมืองอย่างยั่งยืน การแก้ไขการจราจรติดขัด การลดมลพิษทางอากาศ และการทำให้ชีวิตในเมืองน่าอยู่มากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาการขนส่งในเมือง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและในเมืองรองที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here