นับตั้งแต่เฮงเค็ลประกาศยุทธศาสตร์ปี 2563 หรือ 2020 บริษัทได้ขับเคลื่อนแนวทางดังกล่าวตามกลยุทธ์ที่วางไว้จนเห็นพัฒนาการเป็นอย่างดี ส่งผลให้ธุรกิจในปี 2560 และ 2561 มีผลประกอบการที่ดี จากพอร์ทโฟลิโอของนวัตกรรมแบรนด์และเทคโนโลยี ในเวลาเดียวกัน บริษัทยังมองหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค รวมไปถึงเร่งการปรับเปลี่ยนบริษัทเข้าสู่ดิจิทัล ในการนี้ นับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป เฮงเค็ลจะเพิ่มการลงทุนในแต่ละปีประมาณ 300 ล้านยูโร โดยราว 2 ใน 3 ของงบประมาณนี้ จะนำไปลงทุนในแบรนด์ของเฮงเค็ล เทคโนโลยี นวัตกรรม และตลาดสำคัญต่างๆ ในขณะที่เงิน 1 ใน 3 จะนำไปใช้ในการปรับเปลี่ยนบริษัทเข้าสู่ดิจิทัล เพิ่มเติมจากงบเดิมที่มีอยู่
ฮานส์ แวน ไบเล่น ซีอีโอ ของเฮงเค็ล กล่าวว่า “เฮงเค็ลเดินหน้าขยายการลงทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมองหาโอกาสใหม่ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอุปโภคบริโภค เราจะตอกย้ำความแข็งแกร่งในตลาดด้วยการเร่งเปิดตัวสินค้าแบรนด์ใหม่ๆ และนวัตกรรมต่างๆ อีกทั้งยังเพิ่มการลงทุนด้านการตลาดและการขับเคลื่อนเข้าสู่ดิจิทัลให้เพิ่มมากขึ้น ในเวลาเดียวกันเฮงเค็ลจะยังคงรักษาวินัยในการใช้จ่ายอย่างเคร่งครัด และติดตามประสิทธิภาพการทำงานอย่างใกล้ชิด รวมทั้งปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทอย่างต่อเนื่องพวกเรามุ่งมั่นที่จะสร้างผลกำไรของบริษัทให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมีผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจ”
ธุรกิจเทคโนโลยีกาวของเฮงเค็ล อยู่ในตลาดด้วยความแข็งแกร่งและพร้อมที่จะเติบโตขึ้นในอนาคต แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายต่างๆ เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน เฮงเค็ลจะสร้างโอกาสการเติบโตเพิ่มขึ้นให้กับธุรกิจกาวของบริษัท โดยมองหาโอกาสทางธุรกิจจากเทรนด์การเปลี่ยนต่างๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านเครือข่ายการเชื่อมโยง อุปกรณ์เคลื่อนที่ด้วยพลังงานไฟฟ้า (e-mobility) หรือความยั่งยืน
สำหรับกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีกาว เฮงเค็ลตั้งใจขยายบทบาทในตลาดและเทคโนโลยีที่กำลังมีการเติบโตเพิ่มขึ้น ด้วยการเพิ่มแนวทางการใช้งานกาวในรูปแบบใหม่ๆ เช่น การใช้กาวในกลุ่มวัสดุน้ำหนักเบาและกาวเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้า ปัจจุบันบริษัทมีแนวทางที่ชัดเจนและจะดำเนินการอย่างจริงจัง โดยได้ร่วมมือคิดค้นนวัตกรรมกับลูกค้า และยังใช้เครือข่ายที่กว้างขวางของผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีกาวยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มของข้อมูลเพื่อให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นเพื่อสร้างประสบการณ์ใช้งานดิจิทัลที่แตกต่างให้กับลูกค้า
กลุ่มธุรกิจบิวตี้แคร์ เฮงเค็ลมีแผนที่จะนำสินค้าที่มีอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมมาเปิดตัวในตลาดใหม่อีกครั้ง เพื่อผลักดันยอดขายที่ดีกว่าเดิม ซึ่งรวมถึงการนำเสนอสูตรใหม่ของผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างไซออส ส่วนด้านผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมนั้น เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฮงเค็ลจะต่อยอดนวัตกรรมที่แข็งแกร่งภายใต้แบรนด์ชวาร์สคอฟ และพาเลตต์ สำหรับผลิตภัณฑ์ตกแต่งผม ปัจจุบันเฮงเค็ลเป็นผู้นำตลาดในตลาดยุโรป และมุ่งหวังที่จะสร้างการเติบโตเพิ่มขึ้นโดยมีแบรนด์หลักคือทัฟท์ ส่วนแบรนด์ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วอย่าง got2b จะถูกนำมาเปิดตัวใหม่เพื่อขยายตลาดเพิ่มขึ้น โดยใช้นวัตกรรมเฉพาะที่เจาะกลุ่มลูกค้าผู้ชาย
ทั้งนี้ เฮงเค็ล จะเร่งเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจช่างผมระดับมืออาชีพทั่วโลกเพื่อสร้างการเติบโต โดยคิดค้นนวัตกรรมในเชิงรุกในทุกกลุ่มสินค้า ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมและดูแลผมที่มีศักยภาพสูง นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะขยายแบรนด์เข้าสู่ภูมิภาคใหม่ๆ และจะขยายช่องทางจัดจำหน่ายสินค้ากลุ่มช่างผมมืออาชีพเพิ่มขึ้น เฮงเค็ลจะเปิดตัวแพลทฟอร์มอิเล็คทรอนิกส์ที่มีรูปแบบอินเทอร์แอคทีฟชั้นเลิศสำหรับลูกค้าบีทูบี (B2B) เพื่อสร้างยอดขายและให้บริการลูกค้าได้อย่างเหนือชั้น
นอกจากนี้ เฮงเค็ลจะขยายการปฎิสัมพันธ์กับลูกค้าและผู้บริโภคโดยตรงผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น โดยมีแผนลงทุนในเครื่องมือวิเคราะห์ใหม่ๆ และระบบ eCRM หรือการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ รวมทั้งการสร้างแอปพลิเคชั่นบริหารจัดการหมวดหมู่สำหรับซื้อสินค้าออนไลน์ นอกจากนี้จะมีการเปิดตัวอุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) เพิ่มเติมซึ่งรวมถึงโซลูชั่นส์การผลิตแบบอัตโนมัติและการใช้หุ่นยนต์ที่ก้าวล้ำ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของเฮงเค็ลจะมีความแข็งแกร่งขึ้น จากการสร้างพื้นที่ทำงานใหม่ในรูปแบบดิจิทัล การลงทุนด้านความปลอดภัยไซเบอร์ และการยกระดับศักยภาพของเครือข่ายและโครงสร้างพื้นฐานในองค์กร
ผลประกอบการเบื้องต้นในปี 2018
ยอดขายขั้นต้นในปี 2561 อยู่ที่ 19,900 ล้านยูโร เทียบกับปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 20,000 ล้านยูโร ทั้งนี้ ผลกระทบเชิงลบจากค่าเงินได้ส่งผลต่อยอดขายราว 1,100 ล้านยูโร ขณะที่การเติบโตของยอดขายปกติ (Organic) ซึ่งไม่รวมผลกระทบจากค่าเงิน การเข้าซื้อกิจการ และการขายกิจการ อยู่ที่ 2.4%
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีกาวมียอดขายที่แข็งแกร่งมาก โดยเติบโตขึ้น 4.0% กลุ่มธุรกิจบิวตี้แคร์มียอดขายปกติที่เติบโตลดลงโดยอยู่ที่ 0.7% กลุ่มผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนมียอดขายปกติเติบโตเป็นอย่างดีที่ 1.9%
สำหรับผลกำไรจากการดำเนินงานขั้นต้นที่ปรับปรุงแล้ว* (EBIT) เติบโตขึ้น 1.0% เป็นราว 3,500 ล้านยูโร ส่วนผลตอบแทนจากยอดขายขั้นต้นที่ปรับปรุงแล้ว* (EBIT margin) เพิ่มขึ้น 30 จุด เป็น 17.6% ผลกำไรก่อนหักภาษีที่ปรับปรุงแล้ว* ของกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีกาวอยู่ที่ 18.7% (เพิ่มขึ้น +20 จุด) กลุ่มธุรกิจบิวตี้แคร์ 17.1% (ลดลง -10 จุด) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนอยู่ที่ 18.1% (เพิ่มขึ้น +50 จุด)
สำหรับกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิขั้นต้นที่ปรับปรุงแล้ว* (EPS) อยู่ที่ 2.7% โดยหากใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่คงที่ กำไรต่อหุ้นที่ปรับปรุงแล้ว* จะเติบโตราว 7%
แนวโน้มปี 2562
จากการที่เฮงเค็ลได้เพิ่มการลงทุนนับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป บริษัทจึงคาดว่า ยอดขายปกติในปี 2562 จะมีการเติบโตระหว่าง 2-4% ส่วนผลตอบแทนจากยอดขายขั้นต้นที่ปรับปรุงแล้ว คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 16-17% และอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิที่ปรับปรุงแล้ว หากคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ จะอยู่ในอัตราตัวเลขเดียวในระดับกลางๆ ซึ่งต่ำกว่าปีก่อนหน้า
เป้าหมายทางการเงินระยะกลางและระยะยาวจนถึงปี 2563 และหลังจากนั้น
ความมุ่งมั่นของเฮงเค็ลในการสร้างการเติบโตด้านผลกำไรอย่างยั่งยืนและผลตอบแทนที่ดี ได้สะท้อนให้เห็นจากเป้าหมายด้านการเงินในระยะกลางและระยะยาวจนถึงปี 2563 และต่อจากนั้น เฮงเค็ลได้ตั้งเป้าที่จะสร้างการเติบโตของยอดขายปกติระหว่าง 2-4% และการเติบโตของกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิ เป็นเลขตัวเดียวในระดับกลางถึงสูง โดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ รวมทั้งจะให้ความสำคัญกับการเพิ่มเงินสดหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง นับจากนี้ เฮงเค็ลจะยังคงมุ่งสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น โดยจะเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลเป้าหมายให้มากขึ้นเป็น 30-40% นับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป (ปัจจุบันอยู่ระหว่าง 25-35%)