“SNNP” เปิดกลยุทธ์เดินเกมบุกตลาดปี 2567 สร้าง New S-Curve ลุยธุรกิจใหม่ ครั้งแรกกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรูปแบบเยลลี่รสผลไม้สำหรับแต่ละช่วงวัย เจาะตลาดพรีเมียมแมส วางจำหน่ายร้านสะดวกซื้อ 7-11 ราคาซองละ 15 บาท เน้นสื่อสารการตลาดผ่าน KOL สายบุคลาการทางการแพทย์และไลฟ์สไตล์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเผยปี 2566 ที่ผ่านมามีกำไรสุทธิ 636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120 ล้านบาท หรือ 23% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ส่วนรายได้รวม 6,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 445  ล้านบาท หรือ 8% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 5,604 ล้านบาท จากปัจจัยแผนการตลาดที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มองแนวโน้มตลาดปีนี้ยังคงท้าทาย แต่ SNNP เติบโตได้เป็นตัวเลข 2 หลัก

เดินเกมต้นปีลุยสร้างธุรกิจใหม่ บุกตลาดเสริมอาหารเต็มพิกัด

นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด(มหาชน) หรือ SNNP กล่าวว่า สำหรับแผนการทำธุรกิจในปีนี้ บริษัท มีความพร้อมสร้าง New S-Curve กับธุรกิจใหม่ ในการลงทุนพัฒนาสินค้าใหม่ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Supplementary) ภายใต้แบรนด์เจเล่ฟิตต์” (Jele Fitt) ครั้งแรกของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปแบบเยลลี่รสผลไม้ ที่ถูกพัฒนาเพื่อให้เหมาะกับคนแต่ละช่วงอายุที่แตกต่างกัน ราคาซองละ 15 บาท (1 ซอง บรรจุ 27 กรัม) วางจำหน่าย ที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11

ตลาดอุตสาหกรรมเสริมอาหารในไทยมีมูลค่ากว่า 8.7 หมื่นล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 10% ในปี 2566 ถ้าแบ่งตลาดอาหารเสริมในไทยตามคุณประโยชน์ กลุ่มอาหารเสริมที่เน้นคุณโยชน์สุขภาพโดยรวม มีสัดส่วนถึง29% หรือประมาณ 25,230 ล้านบาท จากการศึกษาพฤติกรรมและมุมมองของผู้บริโภคต่อสินค้ากลุ่มอาหารเสริมในประเทศไทย ทำให้ทราบถึงความต้องการของผู้บริโภค จึงได้พัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการนั้น ซึ่งยังไม่มีใครนำเสนอในตลาด และสิ่งที่เราค้นพบคือผู้บริโภคในแต่ละช่วงอายุ มีความต้องการ อาหารเสริมในปริมาณที่ไม่เท่ากัน โดยสินค้าอาหารเสริมที่เหมาะสมตามช่วงอายุ ได้ถูกพัฒนาและวางขายในต่างประเทศมาหลายปีแล้วและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ดังนั้นแนวความคิดในการออกแบบสินค้า คือร่างกายคนเรามีความแตกต่างไม่เหมือนกัน และมีความต้องการสารอาหารที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงวัย ด้วยปัจจัยดังกล่าวจึงกำหนดกลยุทธ์เป็น New S Curve ของ SNNP เพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2567 ซึ่งจากผลวิจัยและกลยุทธ์ดังกล่าวทางบริษัทฯ จึงนำมาพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ เจเล่ฟิตต์ ที่ออกแบบมาให้ฟิตต์แต่ละช่วงวัย และเป็นครั้งแรกที่ SNNP วางตลาดสินค้าอาหารเสริมในตลาด premium mass market 

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเจ้าเดียวในรูปแบบเยลลี่รสผลไม้

ด้วยแนวความคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ เจเล่ฟิตต์ ที่ถูกพัฒนาเพื่อให้เหมาะกับคนแต่ละช่วงอายุที่แตกต่างกัน ถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงวัย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สำหรับวัย 20-29 ปี, สำหรับวัย 30-39 ปี และสำหรับวัย 40-49 ปี ซึ่งจากการวิจัย Jele Fitt ชนะใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ทั้งในด้านแนวความคิดผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค สินค้ารสชาติอร่อย ถูกปาก บรรจุภัณฑ์ที่สะดวกพกพาง่าย รวมถึงรูปแบบการดีไซน์ที่โดดเด่น โดยมากกว่า 80% ของคะแนนความชอบโดยรวม มีความชื่นชอบในรสชาติของผลิตภัณฑ์กว่า 80% มีความสนใจที่จะซื้อเพิ่มมากขึ้นหลังจากได้ลองชิมสินค้า และมีรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่โดดเด่น สื่อสารชัดเจน ในแต่ละซีรีย์ มาพร้อมกับการสื่อสารทางการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค

สื่อสารผ่าน KOL สายบุคลาการทางการแพทย์ไลฟ์สไตล์ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

การสื่อสารการตลาดได้จัดทำหนังโฆษณาออนไลน์ มีการแจกสินค้าตัวอย่าง และทำสื่อสารผ่าน KOL สาย HCP (บุคลาการทางการแพทย์) และสายไลฟ์สไตล์ ที่ได้มีโอกาสทานผลิตภัณฑ์จริงๆ มาแบ่งปันประสบการณ์การทาน และถือเป็นครั้งแรกสำหรับการเปิดห้องให้ความรู้กับรายการ Fitt Talk by Jele Fitt ซึ่งเป็น social club เปิดให้มีการพูดคุยในทุกปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพที่ตั้งใจออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับแต่ละช่วงวัย

สำหรับ KOL สาย HCP Health care Professional ซึ่งเป็นบุคลาการทางการแพทย์ จะมีช่อง Fitt Talk by Jele Fitt ได้แก่ Fitt Talk 20, Fitt Talk 30 และ Fitt Talk 40 เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่น การสร้างความน่าเชื่อถือและยืนยันว่าร่างกายของคนเราแตกต่างกัน จึงต้องการผลิตภัณฑ์อาหารเสริมตามช่วงวัยที่ไม่เหมือนกัน และ KOL สายLifestyle จะมีช่อง Fitt Talk by Jele Fitt ได้แก่ Fitt Talk 20, Fitt Talk 30 และ Fitt Talk 40 เพื่อสร้างความมั่นใจจาก KOL ที่ได้ทดลองผลิตภัณฑ์จริง มาช่วยคอนเฟิร์มถึงคุณประโยชน์และความอร่อย รวมไปถึงการแจกสินค้าตัวอย่างให้กลุ่มเป้าหมายตามมหาวิทยาลัย และ office building การวางสินค้าที่โดดเด่นบนชั้นวางสินค้า ด้วยแผนการตลาดทั้งหมด สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกว่า 80% สำหรับ 1 ซอง บรรจุ 27 กรัม ราคาจำหน่ายอยู่ที่ซองละ 15 บาท มีวางจำหน่ายที่ร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ  

แนวโน้มตลาดปีนี้ยังคงท้าทาย แต่ยังเติบโตได้เป็นตัวเลข 2 หลัก

นายวิโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้มองว่าจะยังคงอยู่ในช่วงชะลอตัว ซึ่งเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการที่จะต้องหากลยุทธ์มาขับเคลื่อนให้ธุรกิจมีการเติบโต ซึ่งจากกลยุทธ์ การดำเนินธุรกิจในปีนี้ของบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถทำรายได้เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก โดยผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2566 มีกำไรสุทธิ 636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120 ล้านบาท หรือ 23% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ส่วนรายได้รวม 6,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 445 ล้านบาท หรือ 8% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 5,604 ล้านบาท โดยปัจจุบันภาพรวมตลาดขนบขบเคี้ยวในไทยมีการเติบโตเฉลี่ย 3-5% มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 43,000 ล้านบาท

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here